ภาษาและวัฒนธรรม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
บทที่4
บทที่4 วัฒนธรรมและการสื่อสารต่างวัฒนธรรม
1.Globalization: Globalization in its literal sense is the process of transformation of local phenomena into global ones. It can be described as a process by which the people of the world are unified into a single society and function together. This process is a combination of economic, technological, sociocultural and political forces.Globalization is often used to refer to economic globalization, that is, integration of national economies into the international economy through trade, foreign direct investment, capital flows, migration, and the spread of technology
โลกาภิวัตน์:กระบวนการเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ของคนในท้องถิ่นทั่วโลก เป็นกระบวนการที่คนทั้งโลกมีเอกภาพในสังคมเดียวกัน
2 . Stereotype : A generalized perception of first impressions. Stereotypes, therefore, can instigate prejudice and false assumptions about entire groups of people, including the members of different ethnic groups, social classes, religious orders, the opposite sex, etc. A stereotype can be a conventional and oversimplified conception, opinion, or image, based on the assumption that there are attributes that members of the "other group" have in common.
ต้นแบบ:ความคิดแบบดั้งเดิมและสมจริงสมจังในความคิดเห็นหรือภาพ ขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่มีคุณสมบัติที่สมาชิกของกลุ่ม "คนอื่น" มีเหมือนกัน
3. Cultural shock: A condition of confusion and anxiety affecting a person suddenly exposed to an alien culture or milieu."The first time she went to Japan, Isabel got a huge culture shock."
ช็อตวัฒนธรรม :สภาพของความสับสนหรือตกใจของคนที่พบเห็นวัฒนธรรมที่แปลกใหม่ เช่น "ครั้งแรกที่เธอเดินไปยังประเทศญี่ปุ่น, อิซาเบลได้ช็อกวัฒนธรรมมาก."
4. Cultural diversity: The fact or quality of cultures of being diverse or different.Cultural diversity should be considered as a source of enrichment rather a source of conflicts.
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: ความแตกต่างกันของความจริง คุณภาพหรือรูปแบบในวัฒนธรรม
5 .Values: Beliefs of a person or social group in which they have an emotional investment (either for or against something). "He has very conservatives values"
ค่าหรือค่านิยม:ความเชื่อของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีการลงทุนทางอารมณ์ เช่น "เขามีค่าอนุรักษ์นิยมมาก"
6 .วัฒนธรรม หมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทาให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสาคัญ
7 .จารีต หมายถึง ประเพณีที่ถือสืบต่อกันมานาน.
8. ประเพณี หมายถึง ระเบียบแบบแผนที่กาหนดพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆที่คนในสังคมยึดถือปฏิบัติสืบกันมา
9 .ขนบธรรมเนียม หมายถึง แบบอย่างที่นิยมกันมา.
10. เทศกาล หมายถึง ช่วงเวลาที่กาหนดไว้เพื่อจัดงานบุญและงานรื่นเริงในท้องถิ่น
บทความเรื่อง การเปลี่ยนแปลง
การเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมใหม่ของดิฉันคือการได้ไปอยู่ต่างประเทศครั้งแรก รู้สึกมีความสุขมากๆ ที่ได้มาศึกษาต่อที่ประเทศไต้หวัน ได้รู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ดิฉันดีใจมากเมื่อได้เจออาหารใหม่ๆรสชาติที่แตกต่างจากประเทศของตนเอง ได้ไปเจอสังคมที่มีผู้คนมากมาย เป็นเมืองที่มีแสงสี ดิฉันดูแล้วไม่เหงาแน่ วันแรกที่นิฉันได้มาเรียน เพื่อนที่นี้น่ารักทุกคนเลย มีแต่คนผิวขาวฟแก้มสีชมพู มหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งในประเทศไต้หวัน ส่วนมากมีแต่คนจีน คนเกาหลี มาเรียน เราคิดในใจนี่คือประสบการณ์ที่ดีของเรานะกาญจนาเธอต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด
เราเข้ามาเรียนต่อที่นี่ผ่านไปสองสามวันรู้สึกคิดถึงบ้านคิดถึงอาหารที่ตัวเองเคยรับประทาน เหมือนเราเป็นคนแปลกหน้าในห้องเรียน เพราะแต่ล่ะคนมีแต่คนผิวขาวๆ นี่เราผิวดำอยู่คนเดียวเลย เริ่มรู้สึกว่าเราจะเรียนต่อที่นี่อย่างมีความสุขไมคนเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีเพื่อนแต่นี่เพื่อนในห้องกับไม่ยิมมาพูดคุยกับเราเลย จึงทำให้ดิฉันรู้สึกแย่ลงไปในทันที
ปัญหาที่อื่นก็มีนะทั้งเรื่องการเดินทางไปเรียนเราต้องขึ้นรถอะไรแบบไหนหรือต้องเดินเท้า เพราะที่ไต้หวันก็มีรถเยอะมากหลายสายหลายทางจนทำให้เราสับสนกับการต้องขึ้นรถไปเรียน แต่ถ้าจะเดินคงไม่ไหวเพราะที่เรียนก็ค่อนข้างไกลจากที่พัก แล้วค่าอาหารก็แพงกว่าบ้านเรา อยู่ที่นี้มีแต่งแสงสีและความสิ้นเปลือง ผู้คนที่นี้ไม่ค่อยมีน้ำใจเลย เดินชนเราก็ไม่ขอโทษ คิดถึงบ้านเรายังเลย คิดพ่อคิดถึงแม่ หนูคิดจังเลย แต่หนูต้องสู้เพื่ออนาคต เพราะดิฉันเลือกที่จะมาเป็นนักเรียนที่นี่ แล้วก็ต้องทำให้ได้
ก็เลยมานั่งคิดแก้ปัญหาว่าถ้าเราไม่มีเพื่อนเพราะเรารอให้เพื่อนเข้ามาหาเรา เราก็เปลี่ยนเป็นเราก็เข้าหาเพื่อนก่อนสิเริ่มทักทาย เริ่มชวนเขาไปรับประทานอาหารไง พอเรามีเพื่อนก็มีผลดีตามมาคือเราได้รู้จักร้านอาหารหลายๆประเทศรวมถึงได้รู้ร้านอาหารไทยในประเทศไต้หวันอีกด้วย แถมยังรู้จักร้านอาหารที่มีราคาถูก อร่อย และที่สำคัญได้เยอะมากๆ
พอเราลองปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนในห้อง เริ่มจากการปรับตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก เราได้ประสบการณ์มากมายจากประเทศไต้หวัน และได้อะไรมากมายจากสังคมที่นี่ ทั้งการเป็นอยู่ ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องการจราจรของประเทศไต้หวัน พอเราปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่นี่ได้แล้วการไปเรียนในแต่ล่ะวันก็ทำให้เรามีความสุขและไม่เกียจคร้านการไปเรียน เพื่ออนาคตของตนเอง และที่สำคัญเพื่อครอบครัวที่รออยู่ทางบ้าน
บทที่3
บทที่ 3 การอ่านภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับวิชาชีพครู
Main idea
In early childhood education or child of any age.Should take into account the development of children that is important.
Details
When someone talks of development in infancy and early childhood you should know this is the most advanced period of development . Parents must show an interest the child for good development all four sides of the body,mental,social,emotional and intellectual. Ouring early childhood the praent and child relationship seem to shift a bit. This relationship can hinder or grow the child is development. Early childhood education can help a child each up or continue to grow socially and cognitively.
วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558
บทที่1
ความหมายของภาษา
ภาษา เมื่อแปลตามรูปศัพท์หมายถึง คำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนด ในพจนาณุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 ใหความหมายของคำว่าภาษาคือเสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน
ภาษาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วัจนภาษา และ อวัจนภาษา
1. วัจนภาษา เป็นภาษาที่พูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำ สร้างความเข้าใจกัน มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการพูด นอกจากนั้นยังเป็นหนังสือที่ใช้แทนคำพูด คำที่ใช้เขียนจะเป็นคำที่เลือกสรรแล้ว มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการเขียนและการพูดตามหลักภาษา
2. อวัจนภาษา เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจางคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสารเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำได้แก่ ท่าทางการแสดงออก การใช้มือใช้แขนประกอบการพูดหรือสัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ เช่น สัญญานไฟจราจร สัญญานธง เป็นต้น
ภาษามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ และที่สำคัญก็คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วย เพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม
อ้างอิง www.nungruatai11.wordpress.com
ความหมายของภาษา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่า “ ภาษา ” ไว้ว่า “ ภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน ” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 : 616)
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ อธิบายความหมายของภาษาว่า “ ภาษา หมายถึง เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความคิด ความรู้สึก และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง ” (วิจินตน์ ภาณุพงศ์ 2524 : 85)
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญๆ อันเป็นคุณสมบัติของภาษา สรุปได้ดังนี้ (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ 2526 : 2)
1. ภาษาประกอบขึ้นด้วยเสียงและความหมาย โดยนัยของคุณสมบัตินี้ ภาษาหมายถึงภาษาพูดเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ใช้บันทึกภาษาพูด
2. ภาษาเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้จึงจะเข้าใจได้ว่าสัญลักษณ์นั้นมีความหมายว่าอย่างไร
3. ภาษามีระบบ เช่น การเรียงลำดับเสียง หรือการเรียงลำดับคำในประโยค การจะใช้ภาษาให้ถูกต้องจึงต้องเรียนรู้ระเบียบและกฎของภาษานั้นๆ
4. ภาษามีพลังงอกงามอันไม่สิ้นสุด จากจำนวนเสียงที่มีอยู่ ผู้พูดสามารถผลิตคำพูดได้ไม่รู้จบ เราจึงไม่อาจนับได้ว่าในภาษาหนึ่งๆ มีจำนวนคำเท่าใด
ความหมายของ ภาษา อาจแยกได้เป็นความหมายโดยอรรถและความหมายโดยปริยายดังนี้
ความหมายโดยอรรถ ภาษา หมายถึง
1. เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารความรู้ ความคิด ความต้องการของมนุษย์เครื่องมือดังกล่าวอาจได้แก่ เสียงพูด เสียงสัญญาณต่างๆ รูปภาพ แผนภูมิ ตัวอักษร ท่าทาง ฯลฯ การใช้เครื่องมือดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงในกลุ่มชนซึ่งผู้ใช้จะต้อง เรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจกันได้
2. การติดต่อ การสื่อความรู้สึก ในหมู่สัตว์ด้วยกัน ได้แก่ การใช้เสียง ท่าทาง ฯลฯ
3. วิชาการแขนงหนึ่ง ว่าด้วยการศึกษาภาษ
อ้างอิง www.l3nr.org
บันลือ พฤกษะวัน(2522, หน้า 5) ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า “คือเครื่องมือที่ใช้สื่อความหมายที่สำคัญที่สุดของมนุษย์” เมย์ (MAY, อ้างถึง บันลือ พฤกษะวัน ,2533, หน้า5)ได้กล่าวถึงภาษาว่า การที่มนุษย์ใช้ภาษาสื่อความหมายกันได้ ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ นอกจากนี้ ศุภวัตน์ ชื่นชอบ ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า ภาษาคือเครื่องมือการสื่อสาร (2524, หน้า1)และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน(2530, หน้า203)ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ดังนี้ ภาษา หมายถึง เสียงหรือกริยาอาการที่เป็นสื่อเข้าใจความหมายรู้กันได้,คำพูด,ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน โดยสรุปแล้วภาษาก็คือเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันและกันให้เข้าใจนั่นเอง
สรุป
ภาษาคำพูดหรือถ้อยคำที่เปร่งเสียงออกมาและมีความหมาย ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร เข้าใจกันได้
ความสำคัญของภาษา
| ||
1. ภาษาในฐานะเป็นเครื่องมือสื่อสาร
| ||
การสื่อสารจะประสบผลสำเร็จได้จะต้องมีภาษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เนื้อหาของสาร | ||
จะไม่สามารถถ่ายทอดได้ถ้าไม่มีภาษา จึงอาจกล่าวได้ว่าภาษาคือตัวนำสาร ภาษาที่ผู้ส่งสาร
| ||
และผู้รับสารใช้จะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับทักษะในการสื่อสาร ถ้าผู้ส่งสารเลือกใช้ภาษาในการเสนอ | ||
สารที่เหมาะสมกับผู้รับสาร ในด้านความรู้และทักษะการใช้ภาษา จะทำให้เกิดการรับรู้และ | ||
เข้าใจตรงกัน ภาษาในฐานะเป็นเครื่องมือสื่อสาร จะมี 2 ลักษณะ คือ | ||
1.1 ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร | ||
ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ | ||
1) วัจนภาษา (verbal language) คือ ภาษาถ้อยคำ ได้แก่ คำพูดหรือตัวอักษร | ||
ที่กำหนดใช้ร่วมกันในสังคม ซึ่งหมายรวมทั้งเสียงและลายลักษณ์อักษร ภาษาถ้อยคำเป็น | ||
ภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างมีระบบ มีหลักเกณฑ์ทางภาษาหรือไวยากรณ์ซึ่งคนในสังคม | ||
ต้องเรียนรู้และใช้ภาษาในการฟัง พูด อ่าน เขียนและคิด การใช้วัจนภาษาในการสื่อสาร | ||
ต้องคำนึงถึงความชัดเจนถูกต้องตามหลักภาษาและความเหมาะสมกับลักษณะการสื่อสาร, | ||
ลักษณะงาน, สื่อและผู้รับสาร เป้าหมาย | ||
2) อวัจนภาษา (non - verbal language) คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ | ||
เป็นภาษาซึ่งแฝงอยู่ในถ้อยคำ กิริยาอาการต่าง ๆ ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ | ||
แปลความหมาย เช่น น้ำเสียง การตรงต่อเวลา การยิ้มแย้ม การสบตา การเลือกใช้ | ||
เสื้อผ้า ช่องว่างของสถานที่ กาลเวลา การสัมผัส ลักษณะตัวอักษร เครื่องหมาย | ||
วรรคตอน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ใช้ถ้อยคำ แต่ก็สามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้ | ||
ในการ สื่อสารมักมีอวัจนภาษาเข้าไปแทรกอยู่เสมอ อาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ | ||
3) ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษา | ||
อวัจนภาษาไม่สามารถแยกเด็ดขาดจากวัจนภาษา ผู้ส่งสารมักใช้วัจนภาษาและ | ||
อวัจนภาษาประกอบ เช่น บอกว่า "มา" พร้อมทั้งกวักมือเรียก เป็นต้น วัจนภาษาและ | ||
อวัจภาษามีความสัมพันธ์กันดังนี้ | ||
1. ใช้อวัจนภาษาแทนคำพูด หมายถึง การใช้อวัจนภาษาเพียงอย่างเดียว | ||
ให้ความหมายเหมือนถ้อยคำภาษาได้ เช่น กวักมือ สั่นศีรษะ เป็นต้น | ||
2. ใช้อวัจนภาษาขยายความ เพื่อให้รับรู้สารเข้าใจยิ่งขึ้น เช่นพูดว่า "อยู่ในห้อง" | ||
พร้อมทั้งชี้มือไปที่ห้อง ๆ หนึ่ง แสดงว่าไม่ได้อยู่ห้องอื่น | ||
3. ใช้อวัจนภาษาย้ำความให้หนักแน่น หมายถึง การใช้อวัจนภาษาประกอบ | ||
วัจนภาษาในความหมายเดียวกัน เพื่อย้ำความให้หนักแน่นชัดเจน ยิ่งขึ้น เช่น พูดว่า | ||
เสื้อตัวนี้ใช่ไหม พร้อมทั้งหยิบเสื้อขึ้นประกอบ | ||
4. ใช้อวัจภาษาเน้นความ หมายถึง การใช้อวัจภาษาย้ำบางประเด็นของวัจนภาษา | ||
ทำให้ความหมายเด่นชัดขึ้น เช่น พาดหัวหนังสือพิมพ์ ใช้ตัวอักษรตัวโตพิเศษ แสดงว่า | ||
เป็นเรื่องสำคัญมาก | ||
5. ใช้อวัจนภาษาขัดแย้งกัน หมายถึง การใช้ภาษาที่ให้ความหมายตรงข้ามกับ | ||
วัจนภาษา ผู้รับสารมักจะเชื่อถือสารจากอวัจนภาษาว่าตรงกับความรู้สึกมากกว่า เช่น | ||
พูดว่า "โกรธไหมจ๊ะที่ผมมาช้า" ผู้รับสารตอบว่า "ไม่โกรธหรอกค่ะ" พร้อมกับมีสีหน้า | ||
บึ้งตึง ผู้ส่งสารก็รู้ได้ทันทีว่ายังโกรธอยู่ | ||
6. ใช้อวัจภาษาควบคุมปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสาร หมายถึง การใช้กิริยา | ||
ท่าทาง สายตา น้ำเสียงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสาร เช่น การยิ้มแย้มแจ่มใส | ||
การแสดงความดีใจที่ได้พบกัน | ||
อวัจนภาษามีผลในด้านการสร้างความรู้สึกได้มากกว่าวัจนภาษา การใช้ | ||
อวัจนภาษาจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องระมัดระวัง | ||
ถ้ารู้จักเลือกใช้อวัจภาษาเพื่อเสริมหรือเน้นหรือแทนวัจนภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ | ||
จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น
อ้างอิง human.rut.at.th
ความสำคัญของภาษา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อ สาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุรการงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิดวิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (กรมวิชาการ. ๒๕๔๕ : ๓-๖)
จำเป็นอย่างยิ่งมนุษย์ต้องอาศัยภาษาติดต่อสื่อสาร ถ้าหากขาดสาระสำคัญแล้วมนุษย์คงไม่สามารถรวมกันเป็นสังคมได้ ทั้งนี้เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์อาจที่จะอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง แต่จะต้องติดต่อไปมาหาสู่กันต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าภาษาที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้อาจกล่าวได้ว่า “ภาษาเป็นเครื่องมือทางสังคม” ก็คงไม่ผิด สำหรับทักษะทางภาษาที่มนุษยชาติต่างๆ ใช้ติดต่อ สื่อสารกันก็คือ ภาษาศิลป์หรือศิลปะทางภาษานั่นเองอันได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มนุษย์อาศัยทักษะทั้ง 4 ประการที่กล่าวมานี้เสริมสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิด พัฒนาอาชีพและพัฒนาบุคลิกภาพ รวมทั้งสิ่งอื่นๆ อีกมากให้กับตนเองและสังคม ด้วยเหตุผลดังกล่าวภาษาจึงมีบทบาทและความสำคัญสำหรับบุคคลทุกคนของทุกชาติ (วรรณี โสมประยูร. ๒๕๔๔ : ๑๖)
นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาทางบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรมประเพณี และสุนทรียภาพ โดยการบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่าภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ซึ่งความสำคัญของภาษาไทย สามารถสรุปได้ว่าเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ความรู้และประสบการณ์อันมีคุณค่าของบรรพบุรุษ เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน เป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติและเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ ดั้งนั้นครูภาษาไทยจึงมีความสำคัญ ต่อการดำรงชีวิตและความเป็นปึกแผ่นของสังคมไทย คนไทยจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย ต้องทำความเข้าใจและศึกษาหลักเกณฑ์ของภาษาและฝึกฝนให้มีทักษะฟัง พูด อ่าน และเขียน ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสาร การเรียนรู้ การเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันการสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ และความจรรนโลงใจเพื่อเกิดประโยชน์แก่ตนเอง ชุมชนสังคม และประเทศชาติ (กรมวิชาการ.๒๕๔๕ : ๓-๖ )
อ้างอิงhttps://www.gotoknow.org/posts/337827
ความสำคัญของภาษา
ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันเเละทำให้วัฒนธรรมอื่นๆเจริญขึ้น เเต่ละภาษามีระเบียบของตนเเล้วเเต่จะตกลงกันในหมู่ชนชาตินั้น ภาษาจึงเป็นศูนย์กลางยืดคนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "ความเป็นชาติโดยเเท้จริง" ว่า ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์เเน่นเเฟ้นกว่าสิ่งอื่น เเละไม่มีสิ่งใด ที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหรือเเน่นอนยิ่งไปกว่าภาษาเดียวกัน รัฐบาลทั้งปวงย่อมรู้สึกในข้อนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น รัฐบาลใดที่ต้องปกครองคนต่างชาติต่างภาษา จึงต้องพยายามตั้งโรงเรียนเเละออกบัญญัติบังคับ ให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง เเต่ความคิดเห็นเช่นนี้ จะสำเร็จตามปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้ เเต่ถ้ายังจัดการเเปลง ภาษาไม่สำเร็จอยู่ตราบใด ก็เเปลว่า ผู้พูดภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้น เเละยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพื้นเมืองไม่ได้ อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิ่งซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์เเน่นเเฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น"
ดังนั้นภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ได้ดี ให้บริสุทธิ์ ก็จะได้ชื่อว่า รักษาความเป็นชาติ คนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นสื่อความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ควรจะรักษาระเบียบความงดงามของภาษา ซึ่งเเสดงวัฒนธรรม เเละ เอกลักษณ์ประจำชาติไว้อีกด้วย ดัง พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งว่า "ภาษานอกจากจะเป็นเครื่องสื่อสารเเสดงความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วโลก เเล้ว ยังเป็นเครื่องเเสดงให้เห็นวัฒนธรรม อารยธรรม เเละเอกลักษณ์ ประจำชาติอีกด้วย ไทยเป็นประเทศซึ่งมีขนบประเพณี ศิลปกรรมเเละภาษา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจ ช่วยกัน ผดุงรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บรรพบุรุษได้ อุตส่าห์สร้่างสรรค์ขึ้นไว้ให้เจริญสืบไป "
อ้างอิง http://www.kroobannok.com
| ||
สรุป
ภาษามีความสำคัญเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตประจำวัน ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารของมุนษย์เพื่อให้เกิดความเข้าใจกันได้ง่าย นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาทางบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรมประเพณี และสุนทรียภาพ
ระดับของภาษา
การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น ๕ ระดับ ดังนี้
๑. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
๒. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
๓. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
๔. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
๕. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)
อ้างอิงhttps://sites.google.com
ระดับของภาษา
การแบ่งระดับภาษาดังกล่าวนี้ โอกาสและบุคคลเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าเรื่องอื่นๆ
1) ภาษาระดับพิธีการ
ภาษาระดับพิธีการเป็นภาษาที่ใช้ในงานระดับสูงที่จัดขึ้นเป็นพิธีการ เช่น การกล่าวสดุดี
กล่าวรายงาน กล่าวปราศรัยกล่าวเปิดพิธี ผู้กล่าวมักเป็นบุคคลสำคัญ บุคคลระดับสูงในสังคมวิชาชีพหรือวิชาการผู้รับสารเป็นแต่เพียงผู้ฟังหรือผู้รับรู้ไม่ต้องโต้ตอบเป็นรายบุคคล หากจะมีก็จะเป็นการตอบอย่างเป็นพิธีการในฐานะผู้แทนกลุ่ม การใช้ภาษาระดับนี้ต้องมีการเตรียมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเรียกว่า วาทนิพนธ์ก็ได้ ในการแต่งสารนี้มีคำต้องเลือกเฟ้น ถ้อยคำให้รู้สึกถึงความสูงส่ง ยิ่งใหญ่จริงจังตามสถานภาพของงานนั้น
2) ภาษาระดับทางการ
ภาษาระดับทางการ ใช้ในงานที่ต้องรักษามารยาท ในการใช้ภาษาค่อนข้างมาก
อาจจะเป็นการรายงาน การอภิปรายในที่ประชุม การปาฐกถา ซึ่งต้องพูดเป็นการเป็นงาน อาจจะมีการใช้ศัพท์เฉพาะเรื่องหรือศัพท์ทางวิชาการบ้างตามลักษณะของเนื้อหาที่ต้องพูดหรือเขียน
3) ภาษาระดับกึ่งทางการ
ภาษาระดับกึ่งทางการเป็นภาษาที่ใช้ในระดับเดียวกับภาษาทางการที่ลดความเป็นงานเป็นการลงผู้รับและผู้ส่งสารมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น มีโอกาสโต้ตอบกันมากขึ้น ภาษาระดับนี้มักใช้ในการประชุมกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน การให้ข่าว การเขียนข่าว หรือบทความในหนังสือพิมพ์ ซึ่งนิยมใช้ถ้อยคำ สำนวน ที่แสดงความคุ้นเคยกับผู้อ่านหรือผู้ฟังด้วย
4) ภาษาระดับสนทนาทั่วไป
ภาษาระดับสนทนาทั่วไป เป็นภาษาระดับที่ใช้ในการพูดคุยกันธรรมดา แต่ยังไม่เป็นการส่วนตัวเต็มที่ยังต้องระมัดระวังเรื่องการให้เกียรติคู่สนนา เพราะอาจจะไม่เป็นการพูดเฉพาะกลุ่มพวกของตนเท่านั้นอาจมีบุคคลอื่นอยู่ด้วย หรืออาจมีบุคคลต่างระดับร่วมสนทนากัน จึงต้องคำนึงถึงความสุภาพมิให้เป็นกันเองจนกลายเป็นการล่วงเกินคู่สนทนา
5) ภาษาระดับกันเอง หรือระดับภาษาปาก
ภาษาระดับกันเองเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกับผู้คุ้นเคยสนิทเป็นกันเอง ใช้พูดจากันในวงจำกัดอาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนฝูง ครอบครัว สถานที่ใช้ก็มักเป็นส่วนตัว เป็นสัดส่วนเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพวก ได้แก่ ภาษาถิ่น ภาษาสแลง ภาษาที่ใช้ติดต่อในตลาดในโรงงาน ร้านค้า ภาษาที่ใช้ในการละเล่น หรือการแสดงบางอย่างที่มุ่งให้ตลกขบขัน เช่น จำอวด ฯลฯ
การใช้ภาษาทุกระดับไม่ว่าจะเป็นภาษาระดับสนทนาหรือระดับกันเอง ผู้ใช้ควรคำนึงถึงมารยาทซึ่งเป็นทั้งการให้เกียรติผู้อื่นและการรักษาเกียรติของตนเอง เพราะเป็นเครื่องแสดงว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี เป็นผู้มีสมบัติผู้ดี และมีจิตใจดี
อ้างอิงhttps://krusurang.wordpress.com
ระดับภาษา
ระดับภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ๑. ภาษาระดับพิธีการ ๒. ภาษาระดับทางการ ๓. ภาษาระดับกึ่งทางการ ๔. ภาษาระดับสนทนา ๕. ภาษาระดับกันเอง
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารให้สัมฤทธิ์ผลนอกจากคำนึงถึงความหมายของถ้อยคำสำนวนที่ใช้ยังต้องคำนึงถึงสัมพันธ์ภาพระหว่างบุคคล กาลเทศะ สื่อที่ใช้ในการส่งสาร และลักษณะเนื้อหาซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับภาษาดังนี้
ภาษาระดับพิธีการใช้ในกาลเทศะที่มีพิธีการ เช่น การเปิดงานต่าง ๆ การกล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสต่าง ๆ ผู้ส่งสารมักเป็นผู้มีตำแหน่งสูง ในวงการนั้น ๆ ผู้รับสารเป็นบุคคลในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มชนใหญ่ อาจเป็นประชาชนทั้งประเทศ ลักษณะภาษาจะเป็นถ้อยคำที่สรรมาอย่างไพเราะ ก่อให้เกิดความจรรโลงใจ จะมักเตรียมเป็นวาทนิพนธ์ และใช้วิธีอ่านต่อที่ประชุม
ภาษาระดับทางการใช้ในการบรรยาย การอภิปราย หรือการเขียนข้อความที่เสนอต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ผู้ส่งสารและผู้รับสารอยู่ในวงการเดียวกัน ติดต่อกันด้วยเรื่องธุรกิจและการงาน การใช้ถ้อยคำจึงต้องกระชับ ชัดเจน สุภาพ อาจมีศัพท์วิชาการเฉพาะด้านอยู่ด้วย
ภาษาระดับกึ่งทางการใช้ในการประชุมกลุ่ม การอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าวและบทความที่เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เนื้อหาเป็นความรู้ทั่วไป การแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการเกี่ยวกับการดำรงชีวิต เกี่ยวกับธุรกิจ ใช้ศัพท์ทางวิชาการเท่าที่จำเป็น
ภาษาระดับสนทนาใช้ในการสนทนาของบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ ในกาลเทศะที่ไม่เป็นการส่วนตัว เนื้อหาเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน กิจธุระต่าง ๆ การปรึกษาหารือกัน การเขียนจดหมายถึงเพื่อน ข่าวและบทความที่เสนอผ่านสื่อมวลชน
ภาษาระดับกันเองใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ที่มีสัมพันธภาพใกล้ชิดกันมาก ใช้ในกาลเทศะที่เป็นการส่วนตัว ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากในนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนเพื่อให้สมจริงอาจมีคำคะนองและภาษาถิ่นปนอยู่
สรุป
การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น1) ภาษาระดับพิธีการ 2) ภาษาระดับทางการ 3) ภาษาระดับกึ่งทางการ 4) ภาษาระดับสนทนาทั่วไป 5) ภาษาระดับกันเอง หรือระดับภาษาปาก
ทักษะและเทคนิคและการใช้ภาษา และลีลาการสอน
ทักษะ คือ การพูดของผู้สอนว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจและวิธีการพูดโน้มน้าวผู้เรียนต่างๆ และทักษะการเคลื่อนไหว ผู้สอนควรจะเคลื่อนไหว ผู้สอนอย่างไรให้เหมาะสมกริยาท่าทางต่างๆที่ผู้สอนเคลื่อนไหวในชั้นเรียนและตลอดเวลาการสอนและหมายถึงความคล่องแคล้ว ความชำนาญในการสอน
เทคนิค คือ กลวิธีและรูปเล่มที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆ
การสอน คือ การถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์
1.การเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนอิริยาบท
2.การใช้มือแลแขน
ใช้มือประกอบท่าทางในการพุด ซึ่งจะเป็นสิ่งดึงดุดใจของนักเรียน เพราะนักเรียนสนใจดูสิ่งเคลื่อนไหวมากกว่าสิ่งที่นิ่ง
3.การแสดงออกทางสีหน้า สายตา
การแสดงออกทางหน้าตา สายตา เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้สื่อความหมายกับผู้เรียน ผู้เรียนจะเข้าใจถึงความรู้สึก หรือเข้าใจในอารมณ์การสอน ในการสอนบทเรียนที่มีความตื่นเต้น สีหน้าของครูต้องคล้อยตามสัมพันธ์กับความรู้สึกดังกล่าวด้วย
4.การทรงตัวและการวางท่าทาง
ควรวางท่าให้เหมาะสม ไม่ดูตรึงเครียด หรือเกรงเกินไป ควรวางท่าทางและทรงตัวขณะสอนให้ดูเป็นธรรมชาติแต่ก็ไม่ดูปล่อยตามสบายจนเกินไป
5.การใช้น้ำเสียง
ควรใช้น้ำเสียงที่ชัดเจนเหมาะสม ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป มีการออกเสียงการใช้ถ้อยคำถูกต้อง ไม่แสดงอารมณ์ที่ไม่สมควรออกทางน้ำเสียงเพราะโดยปกติแล้วน้ำเสียงของครูสามารถบอกอารมณ์ได้และความรู้สึกของครูได้อย่างดี ถ้าครูเสียงดีนักเรียนก้จะมีความรู้สึกที่ดีต่อครู
6.การแต่งกาย
ครูควรแต่งกายให้ถุกต้องเหมาะสมเพราะถ้าครูแต่งกายสวยเดนจนเกินไปทำให้นกเรียนจะให้ความสนใจกับครูมากกว่าบทเรียน ผู้สอนควรแต่งกายให้เรียบร้อย
อ้างอิงhttp://sontad.blogspot.com
ทักษะและเทคนิคและการใช้ภาษา และลีลาการสอน
ในการสอนของครูนั้นจะมีทักษะการสอน ทักษะคือ ความชำนาญ ความคล่องแคล่ว ว่องไว นอกจากครูมีทักษะในการสอนแล้วครูจะต้องมีเทคนิคต่างๆ ที่จะนำมาสอนเด็กได้ เทคนิคการสอน คือ กลวิธีในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่งมีความหมายต่างจากทักษะการสอน
ทักษะการสอนสามารถแบ่งออกเป็น 18 ทักษะ และมีความสำคัญต่อการสอน เช่น ทักษะนับเป็นจุดมุ่งหมายหมวดหนึ่งของการศึกษา เป็นการส่งเสริมความชำนาญ คล่องแคล่ว หรือเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการสอน ทักษะจะช่วยไม่ให้เกิดความผิดพลาด ช่วยให้งานสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ ในการสอนครูจะต้องมีทักษะพื้นฐานในการสอน
การใช้ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน
เทคนิคการนำเข้าสู่บทเรียน ใช้อุปกรณ์การสอน เช่น ของจริง รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิให้นักเรียนลองทำกิจกรรมบางอย่างที่สัมพันธ์กับบทเรียน เช่น การให้ยืนแสดงท่าทางต่างๆ สนทนาซักถามถึงเรื่องต่างๆ เพื่อนำเข้าสู่บทเรียนและต้องมีการทบทวนบทเรียนเดิมที่สัมพันธ์กับบทเรียน
การใช้วาจา กิริยา ท่าทางในการสอน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของครู
การเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนกิริยา
ครูจำเป็นที่ต้องเดินไปหาเด็ก เดินไปเพื่อนแสดงความใกล้ชิด เด็กจะได้รู้สึกว่าครูสนใจ
การใช้มือและแขน
ใช้ประกอบท่าทางในหารพูด ซึ่งจะเป็นสิ่งดูดความสนใจของนักเรียนเพราะนักเรียนสมใจดูสิ่งที่เคลื่อนไหวมากกว่าสิ่งที่นิ่ง การใช้มือและแขนควรใช้ให้สัมพันธ์กับสิ่งที่สอน
3.การแสดงออกทางสีหน้า สายตา
เป็นสื่อหนึ่งที่ใช้สื่อความหมายกับผู้เรียน ผู้เรียนจะเข้าใจความรู้สึกหรือเข้าใจในอารมณ์อย่างไรในขณะสงบในการสอนบทเรียนที่มีความตื่นเต้น
อ้างอิงhttps://phatcom10.wordpress.com
ทักษะและเทคนิคและการใช้ภาษา และลีลาการสอน
ทักษะ คือ การพูดของผู้สอนว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจและวิธีการพูดโน้มน้าวผู้เรียนต่างๆ และทักษะการเคลื่อนไหว ผู้สอนควรจะเคลื่อนไหว ผู้สอนอย่างไรให้เหมาะสมกริยาท่าทางต่างๆที่ผู้สอนเคลื่อนไหวในชั้นเรียนและตลอดเวลาการสอนและหมายถึงความคล่องแคล้ว ความชำนาญในการสอน
เทคนิค คือ กลวิธีและรูปเล่มที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆ
การสอน คือ การถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์
ทักษะการใช้กริยาวาจา ท่าทางการสอน
การใช้กริยาวาจานับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของครู เพราะนักเรียนจะเกิดความพอใจและสนใจที่จะเรียน บุคลิกภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของครู รวมทั้งความสามารถในการสื่อความหมายระหว่างครูกับนักเรียน ไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย
อ้างอิงhttps://yupawanthowmuang.wordpress.com
สรุป
สรุป
ทักษะคือ ความชำนาญ ความคล่องแคล่ว ว่องไว นอกจากครูมีทักษะในการสอนแล้วครูจะต้องมีเทคนิคต่างๆ ที่จะนำมาสอนเด็กได้ เทคนิคการสอน คือ กลวิธีในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)